การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญ
ปี 2562
-
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2562 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2562 ได้มีมติอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ “บริษัท ดิแองเจิ้ล โกลบอล จำกัด” ด้วยวัตถุประสงค์การลงทุนในธุรกิจในรูปแบบการตลาดเครือข่าย (Network Marketing) เพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ในหลากหลายช่องทาง ซึ่งทำให้เกิดการกระจายรายได้แบบปากต่อปากในรูปแบบ Word of Mounts Marketing ที่ใช้สายสัมพันธ์ในการแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยมีองค์ความรู้ (Intellectual Distribution) ทำให้เกิดลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ได้ง่าย (Product Lovers & Loyalty Customers) โดยบริษัท ดิแองเจิ้ล โกลบอล จำกัด มีทุนจดทะเบียน
20 ล้านบาท มีสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ร้อยละ 100
-
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2562 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ได้มีมติอนุมัติให้ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท สยาม เกตเวย์ จํากัด (SGW) “บริษัทร่วม” จากผู้ถือหุ้นรายอื่นทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (TACC) และบุคคลธรรมดา ซึ่งถือหุ้นอยู่ร้อยละ 49 และ ร้อยละ 2 ตามลำดับ รวมเป็นร้อยละ 51 ของทุนจดทะเบียน ซึ่งต่อมาบริษัทได้ทำการซื้อขายและโอนหุ้นสามัญดังกล่าวในเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยชำระเงินค่าหุ้นทั้งสิ้น 0.94 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัท สยาม เกตเวย์ จำกัด มีสถานะเปลี่ยนจาก "บริษัทร่วม" กลายเป็น "บริษัทย่อย" และในครั้งเดียวกันนี้ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อและตราประทับของบริษัททันทีภายหลังจากการเข้าหุ้นเสร็จสมบูรณ์ จากเดิมชื่อบริษัท สยาม เกตเวย์ จํากัด เปลี่ยนเป็น บริษัท โกลคอน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยบริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อและตราประทับของบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2562
-
บริษัทได้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2561 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้บริษัทเปลี่ยนแปลงชื่อและตราประทับของบริษัท และการเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อบริษัท จากเดิมชื่อ “บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” (“NPPG”) เปลี่ยนเป็น “บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน)” (“GLOCON”) โดยบริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อและตราประทับของบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562
ปี 2561
-
บริษัทได้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2561 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้บริษัทเปลี่ยนแปลงชื่อและตราประทับของบริษัทจากเดิมชื่อ “บริษัท นิปปอน แพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” เปลี่ยนเป็น “บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” (“NPPG”) โดยบริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อและตราประทับของบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561
ในการประชุมครั้งเดียวกันนั้น ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติ การเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 400,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 1,656,484,904 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 2,056,484,904 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 400,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงแก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ให้แก่ Asia Alpha Equity Fund 1 ซึ่งเป็นกองทุนย่อยของ Asia Alpha Equity Master Fund ที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ โดยมี Banjaran Asset Management Pte. Ltd. เป็นผู้จัดการกองทุน ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.70 บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 280,000,000 บาท โดยบริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2561
-
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2561 ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้เข้าร่วมลงทุนกับบริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (TACC) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ “บริษัท สยาม เกตเวย์ จํากัด” มีโครงสร้างการถือหุ้นแบ่งเป็น TACC ถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทร่วมทุน และ NPPG ถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 49 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทร่วมทุน โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว (One Stop Service) ซึ่งรวมถึงการบรรจุผลิตภัณฑ์และจัดจำหน่ายผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อส่งออกต่างประเทศทั้งในรูปแบบ Online, Offline, B2B, B2C และสถานที่ขายสินค้าปลอดภาษี (Duty Free) ต่างๆ ในภูมิภาคใกล้เคียง โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกจำนวน 50,000,000 บาท
-
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2562 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2561 ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ NPPG เข้าร่วมลงทุนกับบริษัทย่อยในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนนั้น คาดว่าจะมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกจำนวน 1,000,000 หยวน หรือประมาณเท่ากับ 5,034,800 บาท (ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 หยวนเท่ากับ 5.0348 บาท) เพื่อประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise) ร้านอาหารในสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงการให้สิทธิในการใช้แฟรนไชส์ (Franchise) ร้านอาหาร อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited
-
บริษัทได้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 ผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทจากเดิมใช้ชื่อย่อ “NPP” เปลี่ยนเป็น “NPPG” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อบริษัท โดยได้ดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา
-
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 8/2561 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าทำสัญญาซื้อสิทธิการบริหารแฟรนไชส์หลักร้านอาหารและเครื่องดื่ม ดีน แอนด์ เดลูก้า (Dean & DeLuca Cafés) ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว (“สิทธิการบริหารแฟรนไชส์หลักแต่เพียงผู้เดียว”) (“Exclusive Right of Master Franchise”) กับ บริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ทั้งนี้ สัญญาแฟรนไชส์ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ดีน แอนด์ เดลูก้า จะมีผลบังคับใช้เมื่อบริษัท ดีนแอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับความยินยอมจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันยังมิได้มีการให้ความยินยอมจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) แต่อย่างใด
-
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2561 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์กิจการแฟรนไชส์ร้านอาหารคิทเช่น พลัส กับ บริษัท คิทเช่น พลัส 999 จำกัด ซึ่งในการเข้าทำสัญญาซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าว บริษัทจะได้สิทธิในการเป็นเจ้าของกิจการ ร้านอาหาร คิทเช่น พลัส และ บ้านครัวไทย สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาแฟรนไชส์กิจการ ร้านอาหาร คิทเช่น พลัส และ บ้านครัวไทย ในฐานะเจ้าของสิทธิแฟรนไชส์ที่ทำกับผู้ได้รับสิทธิแฟรนไชส์ รวมถึง สินทรัพย์ สิทธิและหน้าที่อื่นๆ ตามสัญญาที่เกี่ยวข้อง โดยได้ร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายทรัพย์สินเป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันที่ 11 ตุลาคม 2561
-
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 14/2561 ได้มีมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท
1. อนุมัติให้ บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ขายทรัพย์สินของร้านอาหาร Kitchen Plus และสิทธิในการบริหารแฟรนไชส์ร้านอาหาร Kitchen Plus ให้กับ บริษัท มิสเตอร์โจนส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 99.99 ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมด) เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการกิจการร้านอาหาร Kitchen Plus
2. อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อบริษัท มิสเตอร์โจนส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (บริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 99.99 ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมด) เป็น “บริษัท คิทเช่น พลัส แฟรนไชส์ จำกัด”
3. อนุมัติในหลักการให้ บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 99.99)หยุดการดำเนินงานร้านอาหารแบรนด์ Miyabi ที่มีอยู่ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ สาขาห้างสรรพสินค้า Seacon Square, สาขาห้างสรรพสินค้า The Mall งามวงศ์วาน, สาขาห้างสรรพสินค้า Terminal21 Korat ซึ่งทั้ง 3 สาขา เดิมมีการให้สิทธิการใช้ แฟรนไชส์กับบุคคลอื่น ซึ่งต่อมาบริษัทได้มีการเรียกคืนสิทธิการใช้แฟรนไชส์ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2561 และครบระยะเวลาตามสัญญาวันที่ 31 สิงหาคม 2561 (ทั้งนี้โปรดอ่านเอกสารเพิ่มเติม ที่ NPP.024/2561 ชี้แจงข้อมูลในงบการเงิน ประจำปี 2560 ตามที่ตลาดฯ สอบถาม) โดยคณะกรรมการบริษัท พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ Miyabi ในปัจจุบันเป็นธุรกิจที่ไม่ทำกำไรและตลอดทั้งปีที่ผ่านมามีผลประกอบการขาดทุนมาโดยตลอดและไม่มีศักยภาพในการเติบโต
4. อนุมัติในหลักการให้ บริษัท มิสเตอร์โจนส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 99.99) หยุดการดำเนินงานร้านขนมหวานแบรนด์มิสเตอร์โจนส์ออร์แฟเนจ ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจหลังจากที่ได้ปิดสาขาทั้งหมด 3 สาขาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการบริษัทพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ธุรกิจร้านขนมหวานมิสเตอร์โจนส์ออร์แฟเนจ เป็นธุรกิจที่ไม่สามารถสร้างกำไรและผลการดำเนินงานที่ผ่านมานั้นมีผลขาดทุนมาโดยตลอด และไม่มีศักยภาพในการเติบโต
-
ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2561 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้บริษัททำการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท รุ่นที่ 4 (NPPG – W4) จำนวนไม่เกิน 759,613,966 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 2.5 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยเศษของใบสำคัญแสดงสิทธิให้ปัดทิ้ง ใบสำคัญแสดงสิทธิรุ่นที่ 4 มีกำหนดอายุ 3 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ในราคาใช้สิทธิ 0.50 บาท ต่อหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ และอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 759,613,966 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 1,899,034,915 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 2,658,648,881 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่อีกจำนวน 759,613,966 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ ในราคาใช้สิทธิ 0.50 บาท ต่อหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยบริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562
ปี 2560
-
บริษัทได้มีประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติเรื่องการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จากจำนวน 1,152,622,701 บาท เป็น 1,648,968,105 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 496,345,404 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) ตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 248,172,702 หุ้น และจัดสรรเพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพของใบสำคัญแสดงสิทธิ (NPP-W3) ในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ จำนวน 248,172,702 หุ้น โดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ราคา 1.10 บาทต่อหุ้น บริษัทได้รับชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมดังกล่าวแล้วทั้งจำนวน โดยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มทุนดังกล่าวจำนวน 0.93 ล้านบาท ได้แสดงหักจากส่วนเกินมูลค่าหุ้น ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนและลดทุนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560
-
ในวันที่ 21 มีนาคม 2560 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 250,000,000 หุ้นมูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยบริษัทชำระค่าหุ้นสามัญ เป็นจำนวนเงิน 150 ล้านบาท
-
ในวันที่ 24 มีนาคม 2560 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ไทยเฟลคซิเบิลแพค จำกัด ได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 160,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท โดยบริษัทชำระค่าหุ้นสามัญ เป็นจำนวนเงิน 57.70 ล้านบาท ผลดังกล่าวทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 55.00 เป็นร้อยละ 56.69 บริษัทได้บันทึกมูลค่าที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2.39 ล้านบาทไว้ภายใต้รายการ “ส่วนเกินทุนจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนเงินลงทุนในบริษัย่อย” ในส่วนของผู้ถือหุ้น
-
ในระหว่างปี 2560 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ให้สิทธิการใช้แฟรนไชส์ธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า “มิยาบิ” กับบุคคลภายนอก เพื่อไปบริหารจัดการร้านอาหาร 3 แห่ง
ปี 2559
ปี 2559 บริษัทได้ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจของบริษัทและเพิ่มยอดขายเพื่อให้บริษัทสามารถกระจายค่าใช้จ่ายส่วนกลางได้ ตามนโยบายการขยายธุรกิจและแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ ดังนี้
-
บริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัทย่อย ชื่อ บริษัท ไทยเฟลคซิเบิลแพค จำกัด เข้าซื้อบริษัท เดอะ บรีโอ้ มอลล์ จำกัด โดยบริษัทย่อยเป็นผู้ถือหุ้น 100% ในบริษัท เดอะ บรีโอ้ มอลล์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) ชื่อ The Brio Mall ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนบรมราชชนนีระหว่างแยกไปพุทธมณฑลสาย 4 กับ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา รวมทั้ง บริษัท บรีโอ้ เรสเตอรองท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่บริษัท เดอะ บรีโอ้ มอลล์ จำกัด ถือหุ้นอยู่ 100% ด้วยเงินลงทุนจำนวน 75 ล้านบาท (ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทย่อย คือ 55%)
-
บริษัทได้มีมติอนุมัติให้ซื้อหุ้นทั้งหมดของ บริษัท นิปปอน ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด (เดิมชื่อ “บริษัท ไทยลักซ์ ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด” (TLF)) “บริษัทร่วม” และ หุ้นของบริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด “บริษัทย่อย” (NPPF) จาก บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (TLUXE)
บริษัท นิปปอน ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท ไทยลักซ์ ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด (TLF)) ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอาหารแปรรูปแช่แข็ง และ อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน NPP ได้ซื้อหุ้นสามัญ 45% ของTLF จาก TLUXE ในเดือนกรกฎาคม 2558 และเข้าซื้อหุ้นที่เหลือจำนวน 55% รวมเป็นเงินลงทุนอีก จำนวน 34.37 ล้านบาท
บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด “บริษัทย่อย” (NPPF)
ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในเดือนกันยายน 2558 โดยการร่วมทุนระหว่าง NPP กับ TLUXE ประกอบธุรกิจบริหารงานของธุรกิจร้านอาหาร A&W และร้านอาหาร MIYABI โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นคือ NPP ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 55 และ TLUXE ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 45 โดยใน NPP ได้เข้าซื้อหุ้นที่เหลือจำนวน 45% รวมเป็นเงินลงทุนอีก จำนวน 45 ล้านบาท
-
บริษัทได้มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้น 100% ของบริษัท มิสเตอร์โจนส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (MJO) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ฟู้ด แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (FC) (ชื่อเดิมคือ “บริษัท เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)” ) ซึ่งบริหารสาขาทั้ง 6 สาขา ของ แบรนด์มิสเตอร์โจนส์ออร์แฟเนจ โดยเข้าซื้อหุ้นของ MJO ทั้งหมดด้วยราคาขายที่ตกลงกันเป็นเงินรวม 27 ล้านบาท และรับโอนเครื่องหมายการค้าของ
บริษัทได้ขายที่ดินที่ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งได้ซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2555 และยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ จำนวน 235-2-85 ไร่ ในราคา 47 ล้านบาท
ปี 2558
ในปี 2558 นั้นบริษัทได้รับเงินจากการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทได้ลงทุนในธุรกิจต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทโดยเงินลงทุนทั้งหมดนั้นมาจากเงินเพิ่มทุน ดังนี้
-
ในวันที่ 21 มีนาคม 2560 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 250,000,000 หุ้นมูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยบริษัทชำระค่าหุ้นสามัญ เป็นจำนวนเงิน 150 ล้านบาท
-
บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในผู้ผลิตจำหน่ายอาหารแปรรูปต่างๆ บริษัท ไทยลักซ์ ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด ซึ่งบริษัทย่อยของบริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) โดยการซื้อหุ้นบริษัท ไทยลักซ์ ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด จำนวน 4,500,0000 หุ้น หรือ ร้อยละ 45 ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทด้วยจำนวนเงิน 22.5 ล้านบาทและเพิ่มทุนอีกจำนวน 45 ล้านบาท ทั้งนี้ จุดประสงค์การลงทุนเพื่อเพิ่มสายการผลิตในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกัน และจะทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจในอนาคตได้มากยิ่งขึ้น โดยบริษัท ไทยลักซ์ ฟู้ด โปรดักส์ จำกัด นั้นผลิตอาหารแปรรูปส่งโรงงานอาหาร รวมถึงรับจ้างผลิตอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานซึ่งมีบรรจุภัณฑ์ในแบบที่บริษัท นิปปอน แพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สามารถผลิตได้
-
จัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ด้วยวัตถุประสงค์การลงทุนในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มซึ่งถือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของบริษัท โดยบริษัทได้หาผู้ร่วมทุนได้แก่ บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารเพื่อเพิ่มความสามารถในการบริหารธุรกิจใหม่ๆ ของบริษัท โดยบริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท นิปปอน แพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 55 และ บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 45
-
บริษัทได้มาซึ่งสิทธิแฟรนไชส์ของร้านอาหาร A&W ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียวเป็นระยะเวลา 20 ปี และทำสัญญาให้ บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัทย่อยของ NPP เป็นผู้บริหารงานต่อ รวมถึงการให้ บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด
อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้เข้าซื้อทรัพย์สินและสิทธิในการบริหารร้านอาหาร A&W ในประเทศไทยจาก บริษัท เอแอนด์ ดับบลิว เรสเตอรองต์ (ประเทศไทย) จำกัด ทั้งหมด 21 สาขา ซึ่งจะทำให้บริษัทเป็นผู้บริหารร้านอาหาร A&W ทั้งหมดในประเทศไทยและจะเป็นการเพิ่มฐานการดำเนินการเพื่อให้เติบโตได้รวดเร็วมากขึ้น
-
บริษัทลงทุนในบริษัท พร้อมแพค จำกัด ซึ่งประกอบกิจการผลิตภาชนะบรรจุสินค้าพลาสติก โดยบริษัทเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 95 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยการได้มาซึ่งสายผลิตภัณฑ์นี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการตลาดให้กับกลุ่มบริษัทรวมถึงด้านอื่นๆ เช่น การจัดหาวัตถุดิบร่วมกัน หรือการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตร่วมกัน