บมจ.เจ
เอ็ม ที
เน็ทเวอร์ค
เซอร์วิสเซ็ส
(JMT)

JMT
เคาะราคา
IPO
ที่ 4
บาท/หุ้น
ชูจุดแข็งธุรกิจกำไรโตโดดเด่น/ปันผลสวย
ผมมองว่า
JMT
เป็นทั้งหุ้น
Growth Stock
และหุ้นปันผลดีในเวลาเดียวกัน
เพราะเราเป็นธุรกิจที่มีกำไรสุทธิเติบโตในอัตราที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่เรามีนโยบายจ่ายปันผลสูงถึง
50%
ของกำไรสุทธิ
และจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ
จึงมั่นใจว่าจะเป็นหุ้นที่ดีอีกตัวหนึ่งสำหรับนักลงทุน
ความเป็นมาของ
JMT
บริษัท เจ
เอ็ม ที
เน็ทเวอร์ค
เซอร์วิสเซ็ส
จำกัด
(มหาชน)
(JMT)
เป็นบริษัทลูกของ
บริษัท เจ
มาร์ท จำกัด
(มหาชน)
หรือ
JMART
ซึ่งเริ่มต้นก็มาจากบริษัทแม่ที่ต้องการให้มาติดตามหนี้ที่เกิดจากการจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ
ก่อนจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบัน
หากนับช่วงเริ่มต้นก็ตั้งแต่ปีพ.ศ.
2537
ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มทำงานให้กับ
JMART
และต่อจากนั้นพบว่ามีความชำนาญในธุรกิจเป็นอย่างดี
จึงเริ่มขยายฐานลูกค้าออกมาสู่กลุ่มลูกค้าอื่นๆ
นอกจาก
JMART
และเริ่มทำอย่างจริงจังก็ในช่วงปี
2540
ซึ่งเป็นช่วงที่สถาบันการเงินเริ่มมีลูกหนี้เป็นจำนวนมาก
จึงเริ่มเข้าสู่การติดตามหนี้สินให้กับสถาบันการเงินอย่างเป็นทางการ
โดยเริ่มกับ
อิออน
(AEONTS
-บริษัท
อิออน
ธนสินทรัพย์
(ไทยแลนด์)
จำกัด
(มหาชน))
เป็นรายแรก
และผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ
อย่าง
AIS
ซึ่งเราเริ่มมีความชำนาญในการจัดเก็บหนี้มากยิ่งขึ้น
การขยายธุรกิจ
จากความเชี่ยวชาญในการติดตามหนี้ให้กับลูกค้าทำให้เราได้พบกับโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
นั่นคือการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารจัดการด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นจึงได้ขยายธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง
จนในปีที่ผ่านมาประสบการณ์ในการติดตามหนี้
และบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ
ทำให้บริษัทฯ
ได้พบโอกาสทางธุรกิจช่องทางใหม่
นั่นคือการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ซื้อรถยนต์มือสอง
โดยเฉพาะกับผู้ที่เคยเป็นลูกหนี้มาก่อน
ถือเป็นการให้โอกาสคนที่เคยเป็นลูกหนี้มาก่อนได้มีโอกาสซื้อรถยนต์ได้อีกครั้ง
แต่ก็ต้องยอมรับว่าต้องเป็นสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราปกติเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่า
อย่างไรก็ตาม
พบว่าตลาดก็ยอมรับเป็นอย่างดี
โดยปัจจุบันมีพอร์ตการปล่อยสินเชื่อรถยนต์มือสองอยู่ที่ประมาณ
70
ล้านบาทแล้ว
ในขณะที่บริษัทฯ
มีพอร์ตอยู่ในธุรกิจให้บริการเร่งรัดหนี้ประมาณ
10,000
ล้านบาท
พอร์ตในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพประมาณ
20,000
ล้านบาท
และยังมีทิศทางการเติบโตอีกมากในอนาคต
เนื่องจากปัจจุบันในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพถือว่า
JMT
เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทย
และยังมองไม่เห็นคู่แข่งที่จะเข้ามาได้ในธุรกิจนี้
เนื่องจากต้องใช้ความรู้เฉพาะทางและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
ทำไมจึงเลือกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เราต้องการสร้างมาตรฐานสำหรับบริษัทที่รับติดตามทวงหนี้และซื้อหนี้มาบริหารให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างเพิ่มมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับเพื่อสร้างโอกาสในการรับติดตามทวงหนี้และซื้อหนี้จากสถาบันการเงินและบริษัทที่กังวลว่าจะเสียภาพลักษณ์หากมีการดำเนินการติดตามหนี้โดยกลุ่มบุคคลภายนอก
โดยปัจจุบันกลุ่มผู้ว่าจ้างของ
บริษัทฯ
แบ่งได้เป็น
4
กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มสถาบันการเงินซึ่งเป็นกลุ่มผู้ที่ว่าจ้างให้บริษัทฯ
ติดตามเร่งรัดหนี้มากที่สุด
ร้อยละ
53
รองลงมาคือกลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเช่าซื้อ
ที่ร้อยละ
36
ต่อมาคือกลุ่มผู้ให้บริการขายส่งสินค้าหรือขายตรง
และกลุ่มอื่นๆ
ทั้งนี้หวังว่าจะสร้างโอกาสในการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น
แผนการกระจายหุ้น
บริษัทฯจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก
(IPO)
จำนวน
75,000,000
หุ้น
โดยแบ่งขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ
บริษัท เจ
มาร์ท จำกัด
(มหาชน)
(JMART)
จำนวน
45,000,000
หุ้น
คิดเป็นร้อยละ
60
ของจำนวนหุ้นที่เสนอขาย
และที่เหลือ
30,000,000
หุ้น
เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป
โดยคาดว่าจะจัดสรรให้นักลงทุนสถาบันไม่เกิน
6
ล้านหุ้น
ซึ่งกำหนดราคาเสนอขายที่
4
บาท/หุ้น
ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์
เอเซีย พลัส
จำกัด
(มหาชน) หรือ
ASP
เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
(Lead
Underwriter)
และมีบริษัทหลักทรัพย์อีก
3
แห่งเป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
(Co
Underwriter)
ได้แก่
บริษัทหลักทรัพย์
ธนชาต จำกัด
(มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์
บัวหลวง
จำกัด
(มหาชน)
และบริษัทหลักทรัพย์
ฟินันเซีย
ไซรัส จำกัด
(มหาชน)
ปัจจุบันบริษัทฯ
มีทุนจดทะเบียนจำนวน
300,000,000
บาท
แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน
300,000,000
หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
1
บาท
มีทุนเรียกชำระแล้ว
225,000,000
บาท
แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน
225,000,000
หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
1
บาท
และภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนจำนวน
75,000,000
หุ้นในครั้งนี้
JMT
จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งสิ้น
จำนวน
300,000,000
บาท
อนึ่งการเสนอขายหุ้น
IPO
ของ บริษัทฯ
ได้เปิดให้ผู้ถือหุ้นของ
JMART
จองซื้อระหว่างวันที่
12-14
พฤศจิกายน
2555
ในสัดส่วนการใช้สิทธิ
9.15 หุ้น
JMART
(มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
1 บาท)
จะได้รับสิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ
JMT จำนวน 1
หุ้น
(มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
1 บาท)
และเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป
ระหว่างวันที่
19-21
พฤศจิกายน
2555
และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้
ประมาณวันที่
27 พฤศจิกายน
2555
โครงสร้างผู้ถือหุ้นหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
หลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก
(IPO)
บริษัทฯJMART
ซึ่งเป็นบริษัทฯ
แม่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นจากร้อยละ
100
เหลือร้อยละ
75ที่เหลือเป็นนักลงทุนบุคคลทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน
เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้ทำอะไร
เงินที่ได้การระดมเงินทุนจำนวน
300ล้านบาท
จะนำมาใช้ทั้งหมด
3
ส่วน
ประกอบด้วยส่วนแรกจะนำเงินไปลงทุนในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหาร
ส่วนที่
2
จะนำไปปล่อยสินเชื่อรถยนต์
และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ส่วนที่สามจะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ย
ฝากถึงนักลงทุน
หุ้นของบริษัทฯเป็นทั้งหุ้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตของรายได้เฉลี่ยปีละ
20%
และมีอัตราการทำกำไรขั้นสูงถึง
50%
โดยในปี
2554
ที่ผ่านมาเรามีรายได้รวม
324
ล้านบาท
มีกำไรสุทธิ
67
ล้านบาท
และในงวด
6
เดือนแรกของปี
2555
(มกราคม
มิถุนายน
2555)
บริษัทฯ
มีรายได้รวม
186
ล้านบาท
เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ
8
เท่านั้น
แต่มีกำไรสุทธิสูงถึง
51
ล้านบาท
ถือเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี
2554
ถึงร้อยละ
64
ดังนั้น
JMT
จึงเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง
และเรามีเป้าหมายที่จะจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องโดยนโยบายการจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ
50
ของกำไรสุทธิ
จึงถือว่าเราเป็นหุ้นปันผลด้วย
จึงมั่นใจว่าหุ้นจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน
โดยเราถือเป็นธุรกิจใหม่ที่ยังรู้จักในวงจำกัดซึ่งนับว่า
JMT
เป็นบริษัทฯรับติดตามทวงหนี้แห่งแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
*************************
รายงานโดย..สารภี
สายะเวส
www.eFinanceThai.com